こんにちわ สวัสดีผู้เยี่ยมชมบล๊อกทุกคนคะ

こんにちわ สวัสดีผู้เยี่ยมชมบล๊อกทุกคนคะ
บล๊อกนี้เขียนขึ้นเพื่อเล่าเรื่องประสบการณ์ของการเดินทางไปเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างนักศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 6สัปดาห์ ซึ่งเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเราในการไปใช้ชีวิตต่างแดนและอยากจะนำรายละเอียดมาเล่าสู่กันฟังคะ หวังว่าข้อมูลในบล๊อกจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมนะคะ

ありがとうございます。


วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมโปรแกรมนี้

1.ได้ฝึกใช้ภาษาญี่ปุ่นกับเจ้าของภาษา
         เนื่องจากได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นจริงๆจึงต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของ การถามทาง หรือสอบถามข้อมูลต่างๆล้วนแต่ต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นในการสื่อสารทั้งสิ้น ซึ่งนอกจากการพูดคุยกับอาจารย์ในห้องเรียนและเพื่อนๆโครงการเดียวกันแล้ว ก็ยังได้พูดคุยกับคนญี่ปุ่นคนอื่นๆอีกด้วยคะ ทั้งการไป Home stay ,Home visit หรือการไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ ก็ทำให้มีโอกาสได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นกับคนญี่ปุ่นมากขึ้นคะ อีกอย่างการไปญี่ปุ่นครั้งนี้ก็ทำให้เราได้รู้ว่าภาษาญี่ปุ่นที่เราเรียนในห้องเรียนกับที่ใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆนั้นแตกต่างกันคะ เพราะที่เราเรียนในห้องเรียนส่วนใหญ่นั้นเป็นภาษาสุภาพแต่ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันนั้นไม่ค่อยมีใครใช้ภาษาสุภาพเลยคะทุกคนใช้รูปธรรมดาและเหมือนทุกคนจะดูแปลกใจมากด้วยถ้าเราพูดภาษาสุภาพ ทำให้ต้องปรับตัวและเรียนรู้เยอะมากเลยคะ



Home Visit



เพื่อนๆจากมหาวิทยาลัยกักุชูอิน



สัมภาษณ์ชาวญี่ปุ่น


2.ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆที่ไม่เคยรู้มาก่อน

          เพราะคำศัพท์ที่เรียนในห้องเรียนนั้นมีน้อยมาก ซึ่งในชีวิตจริงนั้นยังมีคำศัพท์แปลกใหม่อีกหลายอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อนคะ โครงการนี้ทำให้เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจำวันมากขึ้น นอกจากนั้นก็ยังได้เรียนภาษาญี่ปุ่นท้องถิ่นของแถบคันไซด้วยคะ น่าสนใจและสนุกมากๆเลย

3.ได้เรียนรู้วัฒนธรรมและวิธีคิดของคนญี่ปุ่น
          เพราะในโครงการนี้จะมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรมและความคิดของคนญี่ปุ่นด้วยคะ เช่น การเรียนการสวมชุดกิโมโน การชงชา การไปดูละครโนและละครตลกเคียวเง็น การไปดูการแข่งขันซูโม่ การไปเที่ยวชมวัด ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้ล้วนทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมและและวิธีคิดของคนญี่ปุ่นทั้งสิ้น นอกจากนั้นการที่เราได้ไปพบเห็นการจัดระเบียบต่างๆของประเทศนี้ทำให้เราได้รู้ว่าคนญี่ปุ่นมีการวางแผนในเรื่องต่างๆดีมากและใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆต่อคนในประเทศของเขามากคะ


กิจกรรมชงชา



กิโมโน



ชมละครตลกเคียวเง็นและโน


ดูการแข่งขันซูโม่



เที่ยวชมวัดที่เกียวโต


เพ้นท์ผ้าแบบญี่ปุ่น




4.ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันกับเพื่อนที่มาจากหลากหลายประเทศ
          โครงการนี้ทำให้เรารู้ความแตกต่างของคนแต่ละประเทศเกี่ยวกับมุมมองความคิดในเรื่องต่างๆที่แตกต่างกัน ทำให้เราต้องรู้จักเรียนรู้และปรับตัวต้องเข้าใจวัฒนธรรมของเพื่อนแต่ละประเทศด้วยคะ อย่างเช่นเพื่อนของเรานับถือศาสนาอิสลาม นอกจากไม่กินเนื้อหมูแล้ว เพื่อนยังต้องละหมาดก่อนกินข้าวเย็นด้วยคะ พวกเราก็ต้องเข้าใจและรอเพื่อนเพื่อจะได้ไปกินข้าวพร้อมกัน




5.รู้จักวางแผนและฝึกการทำงานเป็นทีม
          เนื่องจากโครงการนี้พวกเราจะต้องแบ่งกลุ่มเพื่อร่วมกันทำงานเป็นทีมหลายต่อหลายครั้ง ทั้งในชั้นเรียนและการออกไปทำกิจกรรมร่วมกันข้างนอก ทำให้เราต้องรู้จักการทำงานเป็นทีมและเรียนรู้การวางแผนการทำงานร่วมกัน รู้จักการแบ่งงานให้สมาชิกในกลุ่มตามที่เพื่อนแต่ละคนถนัด จึงจะทำให้การทำงานกลุ่มของเรามีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในการทำงานมาก


ปรึกษากันเรื่องแผนที่


นัดประชุมการทำงานเตรียมนำเสนอ


6.ทำให้มีแรงกระตุ้นในการที่จะพัฒนาภาษาญี่ปุ่นให้ดีขึ้นกว่าเดิม
         เนื่องจากเพื่อนๆทุกคนในโครงการเก่งภาษาญี่ปุ่นมากคะ การที่เราจะพูดคุยกับเพื่อนให้รู้เรื่องและเข้าใจมากขึ้นเราก็จะต้องพัฒนาตัวเองคะ ต้องหมั่นทบทวนคำศัพท์อยู่สม่ำเสมอ เพื่อนๆในโครงนี้เป็นแรงกระตุ้นให้เราอยากจะพัฒนาตัวเองเพราะต้องการจะคุยกับเพื่อนๆให้เข้าใจมากขึ้นคะ และเพื่อนทุกๆคนที่โครงการนี้ก็ดีมากคะคอยช่วยเหลือเราเสมอเวลาที่เราไม่เข้าใจก็พยายามอธิบายให้ฟังตลอด ทำให้รู้สึกประทับใจเพื่อนๆมากคะ

7.สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นร่วมกับคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
         เช่น การพิมพ์ภาษาญี่ปุ่น การหาคำศัพท์ การค้นหาคันจิที่เราต้องการ การส่งอีเมล์ การใช้เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการฝึกฝนภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ ซึ่งที่นี่มีการเรียนการสอนให้เราได้เรียนรู้ ซึ่งหลายๆอย่างก็เป็นความรู้ใหม่ๆที่ไม่เคยได้รู้มาก่อนเลยคะและปัจจุบันก็สามารถนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ในการทำงานและฝึกฝนภาษาญี่ปุ่นได้ด้วยคะ



ห้องเรียนคอมพิวเตอร์


8.ฝึกให้เราเป็นคนช่างสังเกต
         เพื่อเก็บรายละเอียดในความแตกต่างระหว่างคนญี่ปุ่นและคนไทย และเก็บความรู้เกี่ยวกับสิ่งแปลกใหม่ที่เราได้พบเจอในประเทศญี่ปุ่น ทำให้เราเป็นคนช่างสังเกตในเรื่องของการวางแผนและวิธีคิดของคนญี่ปุ่น และวัฒนธรรมต่างๆที่น่าสนใจ ซึ่งการฝึกสังเกตสิ่งต่างๆนั้นก็จะทำให้เราได้รับความรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

คำแนะนำรุ่นน้อง

1.คันจิเป็นเรื่องสำคัญมาก
         เพราะที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทาง ฉลากของสินค้า เอกสารต่างๆ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นคันจิทั้งหมดเลยคะ ส่วนใหญ่สินค้าต่างๆจะไม่ค่อยมีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษด้วย หากเราไม่เข้าใจคันจิหรือไม่สามารถอ่านคันจิได้ ก็จะทำให้เรารู้สึกลำบากมากเวลาที่เราต้องเดินทางไปไหนหรือต้องการซื้อของใช้ที่จำเป็น เพราะฉะนั้นจึงควรฝึกฝนและทบทวนคันจิอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอเพื่อเป็นประโยชน์ให้กับตัวเราเองเวลาไปอยู่ที่ญี่ปุ่นคะ

2.เรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเติม
          เพราะความรู้ที่เรียนในมหาวิทยาลัยนั้นไม่เพียงพอเนื่องจากมหาวิทยาลัยของเราสอนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่เริ่มต้นสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อน และมีเวลาในการเรียนน้อยเพราะเป็นวิชาเลือกทำให้เราต้องไปเรียนเพิ่มเติมเพื่อให้มีความรู้มากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อเราไปเข้าร่วมโครงการนี้แล้ว เราจะมีเวลาทบทวนภาษาญี่ปุ่นน้อยลงเนื่องจากการบ้านในแต่ละวันก็มีเยอะ ซึ่งโครงการนี้จะไม่มีชั้นเรียนคันจิและไวยากรณ์แต่ในชั้นเรียนส่วนใหญ่จะเน้นการนำภาษาญี่ปุ่นไปใช้มากกว่า จะเห็นได้ว่าในชั้นเรียนจะเน้นการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรม ความคิดและวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น หลักการสัมภาษณ์ หลักการเขียน speech ฯลฯ มากกว่าการสอนเรื่องไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นคะ

3.ศึกษาวิธีการเดินทางในญี่ปุ่นไว้ล่วงหน้า

          โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟ หลังจากที่เราได้รับตารางการเรียนมาแล้วควรจะดูก่อนว่าเราจะต้องเดินทางไปไหนหรือเดินทางไปทำกิจกรรมที่ไหนบ้าง เพื่อที่จะได้ศึกษาเส้นทางรถไฟก่อนเพราะหากเราไม่รู้จักเส้นทางที่จะเดินทางไป หรือชื่อสถานีต่างๆก็จะทำให้เราลำบากเวลาที่ต้องเดินทางคะ ซึ่งเราควรจะเตรียมตัวดูเส้นทางที่เราต้องเดินทาง จดจำชื่อสถานีรถไฟต้นทางและปลายทาง รวมถึงชื่อสถานีรถไฟที่เราต้องเปลี่ยนสายรถไฟด้วย ขณะเดินทางควรจะนำแผนที่ติดตัวไปด้วยคะหากอ่านคันจิไม่ออกควรหาแผนที่ที่เป็นอักษรฮิรางานะไปคะ (แผนที่ส่วนใหญ่ที่ทางศูนย์ฯแจกนั้นส่วนใหญ่เป็นคันจิคะ)

4. ศึกษาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นไว้ให้มากที่สุด
           เพราะเป็นสิ่งจำเป็นมากเนื่องจากโปรแกรมนี้เน้นการใช้งานจากความรู้ที่ได้เรียนมา ไม่เน้นการมาสอนไวยากรณ์หรือคำศัพท์และคันจิใหม่อีกครั้ง เนื่องจากระยะเวลาในโปรแกรมมีน้อย จึงเน้นใช้งานภาษาญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่เหมือนเป็นหลักสูตรเร่งรัดมากกว่าคะ และอาจารย์ก็มักจะให้เราแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมุมมองประเทศญี่ปุ่นที่เรารู้จัก

5. ศึกษาเกี่ยวกับประเทศของเพื่อนๆที่มาเข้าร่วมโครงการ
           เพื่อเพิ่มพูนความรู้รอบตัวให้กับเราเองเวลาที่เราไปพูดคุยกับเพื่อนๆจะได้มีหัวข้อในการสนทนา เพราะหากเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศที่เพื่อนอยู่เลยเวลาที่คุยกันจะทำให้เราไม่มีเรื่องคุย และเป็นการสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนเพราะเป็นการแสดงออกถึงความสนใจและใส่ใจในประเทศของเขา

6.เงินค่าใช้จ่ายตลอดโครงการนี้
            เงินค่าใช้จ่ายตลอดโครงการนี้ที่ได้รับจากทางศูนย์ JF เพียงพอสำหรับการใช้ตลอด 6 สัปดาห์แต่หากต้องการซื้อของใช้หรือของฝากเพิ่มเติมควรจะนำเงินส่วนตัวไปด้วยคะ ซึ่งเงินที่ได้รับจากทางศูนย์นี้หากใช้อย่างประหยัดจะสามารถเก็บเงินกลับมาเมืองไทยได้จำนวนหนึ่งเลยคะ เพราะเงินสดที่ได้รับไม่รวมกับเงินในการ์ดที่เป็นค่าอาหารอยู่ที่ประมาณคนละ 80,000 เยนคะ หากใช้อย่างประหยัดก็จะทำให้เรามีเงินเก็บกลับมาได้เลยคะ

7.Dictionary ควรจะเตรียมไป
            ทั้งที่เป็น ญี่ปุ่น-ไทย และ ไทย-ญี่ปุ่น จะดีมากเลยคะแต่ถ้าจะให้สะดวกกว่านี้ใช้ Electronic Dictionary ก็จะดีมากเลยคะเพราะเพื่อนๆส่วนใหญ่ก็ใช้ Electronic Dictionary กันคะเพราะสะดวกพกพาง่าย ถ้าซื้อ Electronic Dictionary ของไทยคำศัพท์ก็จะน้อยหน่อยคะแต่ดีกว่าตรงที่แปลเป็นไทยให้เข้าใจได้เลย แต่หากไปซื้อที่ญี่ปุ่นราคาจะถูกกว่าและคำศัพท์จะมีมากกว่า แต่ข้อเสียคือคำแปลเป็นภาษาอังกฤษและเมนูการใช้งานเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งจะทำให้ยุ่งยากสำหรับคนที่ทักษะภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษไม่ดีคะ

8.จักรยาน
             ควรขี่จักรยานให้เป็นคะเพราะส่วนใหญ่นักเรียนที่นี่มักจะใช้จักรยานในการไปซื้อของหรือทานอาหารที่ร้านบริเวณใกล้กับศูนย์ฯ ซึ่งจักรยานของที่นี่ห้ามซ้อนท้ายกันคะขี่ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เนื่องจากการซ้อนท้ายจักรยานมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้สูง จึงเป็นการลำบากหากเราขี่จักรยานไม่เป็นเวลาที่ต้องการไปซื้อของหรือเวลาที่เพื่อนๆขี่จักรยานไปเที่ยวแต่เราไม่สามารถไปด้วยได้

9.อาหารไทย
             เพราะอาหารของประเทศญี่ปุ่นมีรสชาติจืดซึ่งแตกต่างจากประเทศไทยที่มีรสชาติของอาหารจัดจ้านจึงอาจจะไม่ถูกปากคนไทย เราสามารถเตรียมเครื่องปรุงรสของเราไปเองได้คะ เช่น น้ำปลา พริก(พริกของญี่ปุ่นไม่ค่อยเผ็ดคะ) หรืออาจเตรียมน้ำพริกไปกินเพื่อเพิ่มรสชาติให้กับอาหารก็ได้คะ

10.ควรจะอยู่กับเพื่อนชาวต่างชาติ
             เพราะจะทำให้เราได้ฝึกภาษามากกว่าอยู่กับเพื่อนคนไทยคะ และทำให้เราได้แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ความแตกต่างของเพื่อนแต่ละประเทศซึ่งก็จะทำให้เราได้รับความรู้มากขึ้น

11.ฝึกการตรงต่อเวลา
             เพราะคนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเรื่องของเวลามากๆคะ โดยเฉพาะตารางเวลาของรถบัสและรถไฟซึ่งจะตรงเวลามากคะ การนัดหมายต่างๆควรจะไปก่อนเวลาอย่างน้อย 10 นาทีหากจะมาถึงล่าช้าควรโทรศัพท์แจ้งให้ผู้ที่เรานัดทราบก่อน

12.อัตราค่าปรับสัมภาระน้ำหนักเกิน
             เวลาบินกลับเมืองไทยมีราคาสูงมากคะ สายการบิน JAL ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ราคาค่าปรับน้ำหนักเกินกิโลกรัมละ 10,000 เยนคะ (ราคานี้เจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ JF แจ้งให้เราทราบคะ) ซึ่งหากสัมภาระของเราน้ำหนักเกินแนะนำให้ส่งกลับทางไปรษณีย์จะดีกว่าคะ เร็วสุด (EMS) ส่งกลับมาประเทศไทยก็ 3 วันคะแต่หากเราไม่รีบเลือกส่งแบบ 7 วันมาถึงราคาจะถูกกว่าแบบ EMS ก็จะช่วยประหยัดไปได้อีกคะ

13.การติดต่อกลับมาประเทศไทย
             ทางศูนย์มีการ์ดโทรศัพท์จำหน่ายคะสำหรับให้เราโทรกลับประเทศของเราและมีหลายราคาให้เลือก แต่ถ้าเปิดโรมมิ่ง (Roaming) สำหรับของดีแทคตอนนั้นจะเสียค่ารับสาย 25 บาทต่อนาที และเสียค่าโทรกลับไทยนาทีละ 78 บาทต่อนาที และค่าส่งข้อความ 12 บาทต่อข้อความ (แต่รับข้อความฟรีนะคะถ้ามีคนส่งมาจากเมืองไทย) ราคานี้ยังไม่รวม Vat 7% คะ
              ส่วนวิธีที่ถูกกว่านั้นที่เราใช้ตอนที่อยู่ญี่ปุ่นคือใช้บัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศโทรจากไทยไปญี่ปุ่นเสียค่าใช้จ่ายนาทีละ 0.95 บาทโดยให้คนที่บ้านโทรมาหาคะและเวลาที่เราต้องการจะคุยก็โทรศัพท์ไป แล้วให้คนที่บ้านตัดสายทิ้งแล้วโทรกลับ (ดูรายละเอียดได้จาก
www.thaitelephone.com) แต่ถ้าจะไม่เสียค่าใช้จ่ายเลยและเป็นวิธีที่เพื่อนๆส่วนใหญ่ทำกันคือติดต่อกันผ่านทาง MSN หรือ Skype คะ

สิ่งที่สังเกตเกี่ยวกับวิธีคิดของคนญี่ปุ่น

1.คนญี่ปุ่นฝึกให้เราตื่นเช้า
         ดูได้จากการเก็บขยะที่มีเวลาเฉพาะตอนเช้า หากตื่นสายก็ไม่สามารถไปทิ้งขยะได้ และในแต่ละวันก็จะกำหนดประเภทขยะที่จะทิ้งแตกต่างกัน เป็นการฝึกความรับผิดชอบในการแยกขยะตั้งแต่ในครัวเรือนคะ เพื่อสร้างวินัยและลดภาระให้กับเจ้าหน้าที่เทศบาลเพื่อไม่ต้องมาแยกขยะอีกครั้ง

2.ระบบการทำงานของคนญี่ปุ่น
         คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเรื่องการทำงานมากคะ และมักจะมั่นคงต่อบริษัทที่ตนทำอยู่ โดยมักจะทำงานบริษัทเดียวตั้งแต่เรียนจบจนกระทั่งเกษียณและไม่นิยมที่จะปลี่ยนงานบ่อยๆเหมือนกับคนประเทศอื่นๆที่มีค่านิยมเปลี่ยนงานเพราะคิดว่าเป็นการเพิ่มฐานเงินเดือนของตัวเองให้สูงขึ้น แต่คนญี่ปุ่นมักจะทำงานที่เดียวในระยะยาวจนกระทั่งเกษียณจึงทำให้เรารู้ได้ว่าคนญี่ปุ่นมีนิสัยที่ซื่อสัตย์มากคะ

3.คนญี่ปุ่นไม่อาบน้ำตอนเช้าในหน้าหนาว
         ตอนที่เราไปพักอยู่กับ Home stay ที่โตเกียวเป็นเรื่องปกติมากเลยคะที่ทุกคนในบ้านจะไม่อาบน้ำตอนเช้าเนื่องจากว่าฤดูหนาวของประเทศญี่ปุ่นหนาวมากคะและทุกคนก็ตกใจมากเลยคะที่เห็นเราคนไทยอาบน้ำ สระผมตอนเช้า แต่ตอนเย็นคนญี่ปุ่นก็จะใช้เวลาในการอาบน้ำแบบโอฟุโระ (แช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำแบบญี่ปุ่น) คะ ส่วนในตอนเช้าเวลาที่ตื่นมาคนญี่ปุ่นจะลงมาทานอาหารเช้าก่อนคะหลังจากนั้นจึงจะไปล้างหน้า-แปรงฟันและออกไปเรียนหรือไปทำงานคะ และเท่าที่สังเกตเห็นคือห้องน้ำกับห้องส้วมของคนญี่ปุ่นจะแยกออกจากกันคะ


โอฟุโระ


4.การขึ้นรถประจำทางที่ญี่ปุ่น
         การขึ้นรถเมล์ของคนญี่ปุ่นจะมีระเบียบมากคะและบริเวณป้ายรถเมล์จะมีตารางเวลาการเดินรถของรถแต่ละสายแจ้งให้เราทราบคะ ซึ่งระบบการขึ้นรถเมล์ของญี่ปุ่นจะขึ้นจากทางประตูด้านหลังและลงรถเมล์กับจ่ายเงินทางประตูด้านหน้า เพื่อความเป็นระเบียบและไม่สวนทางกันระหว่างขึ้น-ลงรถคะ


บรรยากาศภายในรถบัส


5.การเรียนการสอนในชั้นประถมจะฝึกให้เด็กกล้าคิดกล้าแสดงออก
         เนื่องจากได้มีโอกาสในการไปดูการเรียนการสอนของนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาและแปลกใจมากคะที่เด็กประถมของที่นี่กล้าแสดงออกในการตอบคำถามของคุณครูมากคะ เวลาที่คุณครูถามคำถามทุกคนก็จะยกมือเพื่อที่จะขอตอบแตกต่างจากบ้านเรามากคะที่ไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นถึงแม้จะรู้คำตอบก็ตาม






โรงเรียนอนุบาล (เนื่องจากในห้องเรียนไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปขณะดูการเรียนการสอน)


6.ระบบความปลอดภัยบนรถบัส
        ซึ่งไม่ว่าจะเดินทางในระยะใกล้หรือไกลที่ญี่ปุ่นจะเน้นเรื่องความปลอดภัยมากคะ ในขณะที่รถกำลังขับอยู่นั้นเราทุกคนที่เป็นผู้โดยสารจะต้องนั่งอยู่กับที่ไม่ลุกเดินไปไหนตามใจชอบและต้องคาดเข็ดขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัยด้วยคะ



ทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัยขณะนั่งบนรถ


7.คนญี่ปุ่นไม่ใช้หลอดในการดื่มน้ำคะ
       เราสามารถขอหลอดได้คะแต่บางร้านก็ไม่มีให้มักจะนิยมดื่มจากแก้วหรือดื่มจากขวดน้ำเลยคะ ตอนแรกๆที่ไปก็งงเหมือนกันคะเพราะเคยชินกับการใช้หลอดก็เลยไปถามแม่ค้าร้านน้ำเพื่อขอหลอดแม่ค้าก็บอกว่าไม่มีคะ เคยถามเพื่อนคนญี่ปุ่นแล้วเพื่อนเขาบอกว่าถ้าดื่มจากขวดจะไม่ใช้หลอดคะ แต่ถ้าดื่มจากแก้วถึงจะใช้หลอด ต่างจากคนไทยที่มักจะชอบใช้หลอดทั้งดื่มจากขวดและจากแก้ว

 
8.คนญี่ปุ่นเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยมากคะ สังเกตมาจาก
       ในห้องน้ำสาธารณะ
       คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับคุณแม่ชาวญี่ปุ่นมากคะ ในการที่จะต้องดูแลลูกๆเวลาเข้าห้องน้ำ โดยห้องน้ำสาธารณะของที่นี่จะมีโถปัสสาวะขนาดเล็กสำหรับเด็กผู้ชายในห้องน้ำหญิงเพื่อสำหรับคุณแม่ที่ต้องดูแลลูกชายในการพาเข้าห้องน้ำและไม่สามารถพาเข้าห้องน้ำชายได้ และยังมีอ่างล้างมือขนาดเล็กสำหรับเด็กด้วยคะ นอกจากนั้นในห้องน้ำผู้หญิงของคนญี่ปุ่นจะมีที่นั่งของเด็กอ่อนอยู่ตรงมุมห้องน้ำเพื่อให้คุณแม่สามารถวางลูกไว้บนที่นั่งซึ่งมีความปลอดภัยในขณะที่คุณแม่ทำธุระส่วนตัวอยู่


โถปัสสาวะขนาดเล็กสำหรับเด็กผู้ชายในห้องน้ำหญิง



ที่นั่งของเด็กอ่อนในห้องน้ำผู้หญิง


อ่างล้างมือสำหรับเด็ก
       การให้ของขวัญแก่กัน
       คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการให้ของขวัญแก่กันมากคะ ไม่ว่าจะเป็นของขวัญแสดงความยินดี หรือของขวัญการย้ายบ้านใหม่ และเวลาที่เราไปเยี่ยมบ้านคนญี่ปุ่นก็สมควรจะมีของฝากหรือของขวัญติดไม้ติดมือเป็นธรรมเนียมเพื่อไปฝากคนญี่ปุ่นคะแม้จะเป็นของชิ้นเล็กๆน้อยๆก็ตามแต่ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สมควรปฎิบัติคะ อีกเรื่องที่สำคัญก็คือหีบห่อที่ใช้ห่อของขวัญสำหรับคนญี่ปุ่นนั้นมีความสวยงามมากคะ และการห่อของขวัญให้กันก็ยังแสดงถึงความประณีตและความตั้งใจที่ผู้ให้มีให้กับผู้รับด้วยคะ
       การทำของ Handmade
       เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าคนญี่ปุ่นมักชอบของ Handmade เพราะเป็นของที่มีเพียงชิ้นเดียว และแสดงออกถึงความตั้งใจและความประณีตของผู้ที่ให้ ในเทศกาลวันวาเลนไทน์คนญี่ปุ่นมักนิยมทำช็อคโกแลตด้วยตนเองเพื่อให้กับเพื่อนและคนรัก ด้วยเหตุผลที่ว่าแต่ละคนมีความชอบในรสชาติของช็อคโกแลตแตกต่างกัน การทำช็อคโกแลตเพื่อให้กับเพื่อนหรือคนรักจึงเป็นของ Handmade ที่ทำให้สำหรับแต่ละคนเป็นพิเศษจริงๆ


chocolate handmade ในวันวาเลนไทน์
       การตกแต่งอาหาร
       ที่ญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับการตกแต่งอาหารมากคะ เพราะเป็นการบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ในการทำอาหารให้กับลูกค้าหรือผู้ที่มารับประทาน ให้รู้สืกถึงความประณีตปละความตั้งใจของผู้ทำอาหาร






ตัวอย่างอาหาร
9.การให้ของขวัญตอบแทนเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนญี่ปุ่น
       ถือเป็นธรรมเนียมที่สำคัญมากคะที่เมื่อเราได้รับของขวัญแล้วจะต้องมีการมอบของขวัญกลับคืน ไม่ว่าจะเป็นการที่เราย้ายที่อยู่ใหม่และมีของไปให้แก่เพื่อนบ้าน หรือในเทศกาลวันวาเลนไทน์ของคนญี่ปุ่นที่จะมีวัน White day เป็นวันหลังจากวันวาเลนไทน์มาแล้ว 1 เดือนซึ่งเป็นวันที่ผู้ชายจะมอบของขวัญคืนให้กับผู้หญิงที่นำช็อคโกแลตมาให้ตน ถือเป็นธรรมเนียมที่สำคัญในการมอบของขวัญคืนให้กับคนที่ให้ของขวัญเรามา
10.วัยรุ่นญี่ปุ่นชอบทำงาน Part-time
       ถือเป็นค่านิยมของวัยรุ่นญี่ปุ่นเลยคะเพราะนอกจากจะได้รายได้พิเศษแล้วยังเป็นการหาประสบการณ์จากการทำงานไม่ว่าจะเป็นงานร้านอาหาร หรือตามร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ ซึ่งวัยรุ่นญี่ปุ่นนั้นเห็นว่าการมีประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก


งาน Part-time (アルバイト)
11.คนญี่ปุ่นไม่เปิดเครื่องปรับอากาศไว้ทั้งคืนเวลานอน
       จะเปิดเฉพาะช่วงเวลาก่อนนอนและตั้งเวลาปิดไว้คะ โดยให้เหตุผลว่าหากเปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้ตลอดคืนเวลานอนอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้แต่อันที่จริงแล้วน่าจะเป็นเหตุผลในเรื่องของการช่วยกันประหยัดพลังงานของประเทศญี่ปุ่นเองมากกว่าคะ
12. คนญี่ปุ่นมักดื่มชาแทนน้ำเปล่า
       อาจเป็นเพราะการดื่มชาช่วยทำให้สุขภาพดีกว่าการดื่มน้ำน้ำเปล่า หากมีชากับน้ำเปล่าให้เลือกคนญี่ปุ่นจึงมักเลือกที่จะดื่มชาแทนน้ำเปล่าคะ
13. ชาวญี่ปุ่นจะไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์แม้ในขณะนั่งรถไฟ
      เนื่องจากคนญี่ปุ่นบางคนใช้เวลานานมากในระหว่างที่เดินทางกลับบ้านหรือระหว่างจากบ้านมาที่ทำงาน เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเปล่าประโยชน์ในขณะเดินทาง คนญี่ปุ่นมักจะอ่านหนังสือระหว่างเดินทาง เล่นโทรศัพท์มือถือ เล่นเกมส์ ฯลฯ ระหว่างเดินทาง ทำให้ในรถไฟจะไม่มีการส่งเสียงดัง เช่น การพูดคุยกันเสียงดังหรือการคุยโทรศัพท์เพราะจะเป็นการรบกวนผู้โดยสารท่านอื่นที่อาจจะกำลังมีสมาธิกับการอ่านหนังสืออยู่และถือเป็นมารยาทที่ดีที่ควรปฎิบัติคะ



บรรยากาศบนรถไฟของประเทศญี่ปุ่น
14.แท็กซี่ญี่ปุ่น
      สังเกตว่าแท็กซี่ที่นี่จะแตกต่างจากบ้านเรามาก คนขับรถแท็กซี่จะแต่งตัวสุภาพ สวมถุงมือ ใส่สูท ดูเป็นพนักงานขับรถมืออาชีพแต่เท่าที่สังเกตคนญี่ปุ่นมักจะไม่ค่อยนั่งรถแท็กซี่หากไม่รีบจริงๆ เนื่องจากว่าค่าแท็กซี่ที่นี่แพงมากคะและรถแท็กซี่แต่ละคันที่นี่ก็แปลกเพราะค่ามิเตอร์เริ่มต้นของแต่ละคันไม่เท่ากันเหมือนอย่างบ้านเรา นอกจากนั้นพอสอบถามจากอาจารย์เพิ่มเติมก็ทำให้รู้ว่าคนขับรถแท็กซี่ของญี่ปุ่นจะต้องมีใบอนุญาตทุกคน และจะมีขอบเขตพื้นที่ที่กำหนดในการบริการเนื่องจากคนขับรถจะมีความเชี่ยวชาญแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน เช่น หากใบอนุญาตระบุให้ขับในเขตไหนก็จะต้องให้บริการในเขตนั้นเท่านั้นคะ

แท็กซี่ญี่ปุ่น

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ความประทับใจที่พบระหว่างที่อยู่ประเทศญี่ปุ่น

 1.ความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ JF
          เจ้าหน้าที่ของศูนย์ JF ให้การดูแลและให้ความช่วยเหลือเราเป็นอย่างดีมากในทุกๆเรื่องคะ เวลาที่เรามีปัญหาสามารถไปแจ้งได้ที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ซึ่งพวกเขาจะแก้ปัญหาให้เราได้เป็นอย่างดีเลยคะ และที่ประทับใจเป็นพิเศษคือตอนที่เรากลับมาจากโตเกียว และทำโทรศัพท์มือถือหล่นหายคะ แต่ไม่รู้ว่าไปหายที่ไหนเพราะจำได้ว่าเห็นมันครั้งสุดท้ายตอนที่เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเป็น Flight Mode ที่สนามบินฮาเนดะและเอาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทแต่พอกลับมาถึงที่ศูนย์คันไซปรากฎว่าหาไม่เจอแล้ว จึงไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ซึ่งเขาให้ความช่วยเหลือดีมากเลยคะ เขาสอบถามรายละเอียดต่างๆทั้งรุ่นโทรศัพท์มือถือ สี รูปแบบ และถามสายการบินที่เราเดินทางมา รวมทั้งเที่ยวบินที่เราเดินทางมา จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็โทรไปสอบถามให้เราคะซึ่งสอบถามให้เราจากทั้งสายการบิน สนามบินฮาเนดะ และสนามบินคันไซ และถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้โทรศัพท์คืนก็ตามแต่ก็ประทับใจมากคะที่เจ้าหน้าที่ของที่นี่ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จริงๆ และเรื่องที่เราประทับใจอีกครั้งคือตอนที่มีกิจกรรมไปเที่ยวโตเกียว ตอนนั้นเราลืมเอาตัวแปลงปลั๊กไฟไปและกล้องที่นำมาถ่ายรูปก็จำเป็นที่จะต้องชาร์จแบตเตอรี่ด้วย เมื่อไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเราเขาก็ให้ความช่วยเหลืออย่างดีมากคะคือในบริเวณนั้นไม่สามารถหาซื้อตัวแปลงปลั๊กไฟได้ เจ้าหน้าที่เลยแนะนำให้เราไปติดต่อรุ่นพี่คนไทยที่พักอยู่ที่เดียวกันเพื่อขอยืมโดยจดเบอร์โทรมาให้เพื่อให้เราโทรไปขอยืมเองเนื่องจากว่าเป็นคนไทยด้วยกันและรุ่นพี่ก็ใจดีมากคะให้เรายืมใช้จนกว่าเราจะกลับเลย


 
ทาคุยะซัง  (タクヤさん) เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ที่ดูแลเราดีมาก


2.เพื่อนๆในโครงการเดียวกัน
        เพื่อนๆที่มาอยู่ร่วมกันในโครงการนี้ให้ความช่วยเหลือเราดีมากคะถึงแม้ว่าเพื่อนบางคนจะเก่งมากๆก็ตามแต่ก็ยังคอยช่วยอธิบายให้เราฟังในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ นอกจากอธิบายแล้วหากไม่เข้าใจก็จะยกตัวอย่างและใช้ภาษามือประกอบการอธิบายไปด้วยเพื่อให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้น หรือหากเราไม่เข้าใจอีกเพื่อนก็จะเปิด Dictionary ให้เราดูความหมายคะ นอกจากจะช่วยอธิบายแล้วเวลาที่เรามีการบ้านและไม่เข้าใจพอไปถามเพื่อน พวกเขาก็ยินดีช่วยเหลือเราเต็มที่เลยคะในส่วนนี้จึงทำให้เราประทับใจอย่างมากเพราะเพื่อนๆไม่มีท่าทีดูถูกหรือรังเกียจเลยที่เรามีความรู้และทักษะภาษาญี่ปุ่นน้อยกว่าแต่ตรงกันข้ามเขากลับให้กำลังใจเราเสมอและพูดอยู่เป็นประจำว่าให้เราพยายามเข้านะ ความรู้สึกในตอนนั้นซาบซึ้งมากจริงๆคะ


เพื่อนร่วมโครงการทุกคน


3.ความช่วยเหลือจากอาจารย์ผู้สอน
       เราได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์ผู้สอนอย่างดีเลยคะ อาจารย์ท่านรักและเอ็นดูพวกเรามากซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงเนื่องจากมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นค่อนข้างน้อย ในช่วงแรกๆหรือในช่วงของการปรับตัวอาจารย์ท่านจะคอยแนะนำและดูแลเราใกล้ชิดอยู่เสมอคะ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเรียนหรือเรื่องทั่วๆไป ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจขึ้นมากเลยคะคือถ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่เข้าใจและต้องการความช่วยเหลือสามารถไปหาอาจารย์ผู้สอนเพื่อให้อาจารย์อธิบายและแนะนำได้ตลอดเลยคะ ในส่วนนี้ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและประทับใจอาจารย์ทุกท่านมากเลยคะ





อาจารย์ผู้สอนที่คอยให้ความช่วยเหลือตลอด


4.Home visit และ Home stay
        รู้สึกอบอุ่นมากคะที่ได้ไปพัก Home stay กับครอบครัวคนญี่ปุ่น เพื่อนและครอบครัวที่เป็นเจ้าของบ้านอบอุ่นมากคะให้การดูแลอย่างดี ทั้งในเรื่องของอาหารการกินที่อร่อยมากทุกมื้อเลยคะ การไปรับ-ไปส่งระหว่างสถานีรถไฟและบ้าน การดูแลระหว่างที่พักในบ้าน และเพื่อนที่เป็นเจ้าของบ้านก็ดูแลเราดีเป็นพิเศษเลยคะ ถึงแม้ว่าเราจะพูดภาษาญี่ปุ่นไม่แข็งแรงแต่เพื่อนก็ยังชวนคุยตลอดเลยคะ แม้จะอธิบายยากสักนิดเวลาที่คุยกันแต่เพื่อนก็มีความพยายามที่จะเข้าใจและตั้งใจฟังเรามากคะเลยทำให้เรารู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้คุยกันและเพื่อนยังคอยแนะนำเกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่เราไม่เข้าใจให้เรารู้อีกด้วย ส่วนครอบครัวของ Home visit ก็ใจดีมากเช่นกันคะดูแลและใส่ใจรายละเอียดของเราดีมากคะ ทั้งในเรื่องอาหารที่เราไม่ทานเนื้อวัว แต่เมนูที่ได้เตรียมไว้เป็นเนื้อวัวทำให้คุณแม่เจ้าของบ้านต้องทำอาหารเพิ่มเพื่อให้เราทานได้และระหว่างที่ทำอาหารก็ได้ช่วยคุณแม่ทำอาหารด้วยคะ สนุกมากและได้ความรู้อีกด้วยคะ เหมือนเราเป็นลูกสาวของบ้านหลังนี้และมีส่วนช่วยในอาหารมื้อนี้ ทำให้รู้สึกอบอุ่นและประทับใจเหมือนกับได้อยู่บ้านของตัวเองจริงๆเลยคะ


Home visit กับครอบครัววาดะ




Home visit กับครอบครัวทามุระ


Home stay กับครอบครัวซูซูกิ

5.การวางแผนและการจัดการดูแลผู้เข้าร่วมโครงการอย่างดี
          การวางแผนและการจัดการดูแลผู้เข้าร่วมโครงการอย่างดี ครอบคลุมปัญหาที่จะเกิดขึ้นทุกด้าน ในระหว่างเข้าร่วมโปรแกรมพวกเราทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าหน้าที่จัดการโปรแกรมและวางแผนให้กับผู้เข้าร่วมโครงการอย่างดี ใส่ใจและบอกข้อมูลให้ทราบแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ ทำให้พวกเราได้รับความสะดวกสบายในทุกๆด้านคะ

6.ได้รับความช่วยเหลือจากคนญี่ปุ่น
         ตอนที่หลงทางเพราะหาศาลเจ้าที่จะไปเที่ยวไม่เจอคะ เป็นวันแรกที่เดินทางมาถึงที่ญี่ปุ่นคะ วันนั้นเป็นวันว่างที่ให้เราพักผ่อนไม่มีการเรียนการสอนแต่อย่างใด พวกเราจึงเอาแผนที่มานั่งดูสถานที่ที่น่าไปเที่ยวบริเวณใกล้ๆและขี่จักรยานไปเที่ยวกันคะหลังจากที่ไปนั่งชิงช้าสวรรค์ชมวิว ทานอาหารกลางวันพอตอนใกล้จะกลับเลยตกลงกันว่าเราจะไปแวะที่ศาลเจ้าที่อยู่ใกล้ๆกับศูนย์ แต่ขี่รถจักรยานตามแผนที่กี่รอบๆก็ไม่เจอศาลเจ้าสักทีคะ วนไปวนมาอยู่หลายครั้งจึงไปถามคุณป้าคนญี่ปุ่นที่เดินผ่านมา ซึ่งคุณป้าท่านก็ใจดีมากคะให้คำแนะนำและบอกว่าจะพาไปส่งให้ด้วยคะ นอกจากนั้นท่านยังขอเอกสารแนะนำศาลเจ้าจากเจ้าหน้าที่เอามาแจกให้พวกเราอีกด้วยคะทำให้เรารู้สึกประทับใจคนญี่ปุ่นตั้งแต่วันแรกที่ได้มาอยู่ที่นี่เลยคะ

คุณป้าที่พาพวกเราไปศาลเจ้าถ่ายคู่กับคริสติน